วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ฉลาดๆ

ไม่ได้เขียนblog มานานดั่งนมบูด
มีความต้องการที่จะทำให้การเขียน blog เป็นกิจวัตร
แต่ก็เกิดความไม่แน่ใจว่า จะเขียน blog ให้ดีได้อย่างไร
ทำยังไงให้ดู "ฉลาด"

มีความรู้สึกว่า เรื่องราวที่ได้โชว์ ตัวใน blog ที่ผ่านมายังไม่ฉลาดพอ
ทำไมคนเพ้อเจ้อ จึงอยากได้ blog ที่ดู ฉลาด
อาจด้วย ชื่อ cd5napakiat ที่บ่งบอกถึงเรื่องราวแง่มุมช่างคิดของ นายนภเกียรติ
ที่เกี่ยวกับการสื่อสารระดับ 5
เลยทำให้นายนภเกียรติ ต้องการจะเสนอ "หนึ่งแง่มุมที่ฉลาด" ของตัวเอง
เพื่อให้เหมาะสมกับชื่อ ที่ปูทางสู่แนวทางนั้น
อิทธิพลจาก blog เพื่อนๆนักศีกษาการออกแบบสื่อสารระดับ5 ก็มีส่วนอย่างมาก
ที่ทำให้เกิดภาวะ อยากฉลาดบ้าง ของ นายนภเกียรติ
จากการอ่าน blog ของเพื่อนหลายๆคน ทำให้ได้ต่อยอดความคิดบางอย่าง
ที่มากกว่านั้น ยังได้รู้จักแง่มุมที่ไม่เคยเห็นของเพื่อนบางคน
แง่มุมที่ฉลาดๆ

อาจเป็นเพราะตัว blog เองหรือเปล่าที่ขับให้เราต้องฉลาด
ถึงจะเป็นการบันทึกความคิดของตัวเอง
แต่ก็เพื่อให้คนอื่นอ่าน
เราไม่สามารถรู้ได้ว่า ใครบ้างที่จะได้ มาอ่านสิ่งที่เราเขียนไว้
ด้วยรูป profile และ ชื่อ URL ที่บ่งชี้ว่า คือ ใคร
ทำให้อาจรู้สึกไปเองว่า สิ่งที่เราต้องเขียนต้องเป็นเรื่องของที่ดูฉลาดๆหน่อย

เวลาคุยกับเพื่อนก็ เป็นภาษานึง
คุยกันใน blog ก็เป็นอีกภาษาหนึ่ง
การมาปลดปล่อยตัวตนลึกๆ อาจจะต้องเก็บไว้คุยกับคนอื่นในรูปแบบอื่นๆไป

อ่าาาาาาา
พยายามจะออกตัวมาด้วยความฉลาดสุดๆแล้ว นะ บทความนี้ ฮ่าๆๆๆ





วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

kanojo to no tadashii asobikata


ได้ดูหนังญี่ปุ่นเรื่องนึงครับ
ชื่อ Kanojo to no tadashii asobikata
ตัวเอก 2 คนเป็นเพื่อนสมัยเด็กกัน
ซึ่งเหมือนเป็นสูตรสำเร็จ ของหนังญี่ปุ่นเลย รู้สึกจะเจอแบบนี้บ่อย ฮ่าๆ
ตอนเด็กๆ อี 2 คนนี้ ได้เล่นเกมเจ้าหญิงกับคนรับใช้
แล้วมันก็เล่นกันมาถึงปัจจุบัน ตอนช่วงมัธยม

ที่น่าสนใจคือ การแสดงออกของตัวผู้หญิง ที่เป็นตัวเองที่สุด
ในช่วงที่เล่นเกมเจ้าหญิง คนรับใช้ กับ อีตัวผู้ชาย

ผิดกับ ชีวิตจริงของตัวผู้หญิง ที่เหมือนกับใส่หน้ากาก เพื่อปกปิดตัวเอง

ทำให้บางทีก็เกิดคำถามว่า

ตัวตนจริงๆของเรานั้นคืออะไรกันแน่
ช่วงเวลาไหนที่เราสามารถเป็นตัวเองได้
แล้วสิ่งที่คิดว่า นี่แหละตัวชั้น มันใช่จริงๆ รึเปล่า

อาจจะงงๆ กับการเขียน ของผมบ้าง ฮ่าๆ

เอาว่าต้องลองดูครับ หนังไม่ยาว 40 นาที กว่าๆ เอง
มายืมกันได้ครับผม


พลังงาน



ยิ่งโตขึ้น พลัง ยิ่งน้อยลง
ยิ่งรู้มาก ยิ่งกลัว

ผมมักรู้สึกแบบนี้บ่อยๆ

บางครั้งมองกลับไปก็รู้สึกทึ่งในตัวเองอยู่บ้างเหมือนกัน
ด้วยเหตุผลโง่ๆ
นำไปสู่บางอย่างที่ยิ่งใหญ่
ด้วยความไม่รู้
ก็ทำให้เรากล้าที่จะทำอะไรบ้าๆ
ไม่ค่อยที่จะแคร์ หรือ ใส่ใจ ว่าคนอื่นจะมองยังไง

ลองมามองตัวเองในวันนี้

เหมือนพลังที่เคยมีจะน้อยลงทุกที
ความกล้าก็น้อยลง
หวั่นกลัวกับคำวิจารณ์
แคร์สายตาผู้คน

ได้มีโอกาสดูวีดีโอช่วงที่เล่นดนตรีกับเพื่อนสมัยมัธยม
เสียงที่ออกมาช่างบ้าบอ ค่อมจังหวะบ้าง ตีวืดบ้าง
แต่พลังที่สัมผัสได้นั่น ช่างมากมายจริง

เฮ้อ



คิดถึงจังน้าาา

ตัวฉันในอดีต

วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ทุกหัวใจที่เต้นได้ย่อมรู้สึกเป็น

อ่านหนังสือ LIFEscan
แล้วเจอกับประโยคที่ว่า
ทุกหัวใจที่เต้นได้ย่อมรู้สึกเป็น

บางครั้งการแสดงออกบางอย่าง ไม่ได้บ่งบอกสถานะ ความรู้สึกของคนคนหนึ่ง
คนคนหนึ่งอาจคิดกับตัวเองต่างจากที่รู้สึกจริงๆ
รู้สึกแต่แสดงออกไม่เป็น
รู้สึกสงสารเด็กออทิสติก ตีค่าด้วยหน่วยวัดที่เราตั้งขึ้น จริงๆเค้าอาจมีความสุขในสิ่งๆหนึ่งของเค้า
ก็อาจเป็นได้
รู้สึกอิจฉาคนรวย เหตุเพราะ มีเงินเยอะ สุข เยอะ หรือ?
มันก็มีส่วนนะ ฮ่าๆๆ

ไม่ได้รวย และ ไม่ได้เป็น ออทิสติก แต่ก็ไปคิดแทนเขาแล้ว น่อ

อย่าตัดสินใครจากแค่สิ่งที่เห็นเลยหนา
แล้วจะตัดสินคนจากอะไรดีวะ เฮ้อ

นั่นสิ

แต่ถึงไม่เป็น ออ ถ้าเราใกล้ชิด เราก็อาจจะสามารถ รู้สึก ในแบบที่เค้ารู้สึกได้ละมั้ง
เหมือนที่แม่รู้สึกเหมือนที่ลูกรู้สึก

ลองรู้สึกในมุมมองของคนคนนั้น ก่อนตีค่า
อย่าตัดสินใครจากการมองแค่หางตา

ตอนแรกเกลียดหน้า ไอ้เซฟ จะตาย ฮ่าๆๆๆๆ

LIFEscan มากกว่าที่ตาเห็น
หนังสือดีฮะ แนะนำๆ

วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ภาพติดตา

ฟังเพลง "ภาพติดตา" ของพี่ๆ Soundlanding
แล้วก็คิดว่า อะไรที่ทำให้บางอย่างมันตราตรึง
เวลาคิดถึงบางสิ่งในบางช่วงเวลา
ภาพที่มองเห็น มักจะเป็นภาพเดิมๆ
นั่นหรือ คือ ภาพติดตา

จากเนื้อเพลง ภาพติดตาน่าจะหมายถึง เหตุการณ์ในอดีตที่มีค่า

อืมม

เวลาคิดถึงโรงเรียนอนุบาล แล้วทำไม ต้องคิดถึง ตอนโดนหมาตัวดำไล่กัดก็ไม่รู้
ตอนนั้น ทั้งเตะ ทั้งต่อย เอามือยันคาง มอมแมม ถลอกปอกเปิก

มันเป็นเหตุการณ์อันมีค่า?

โตขึ้นก็ไม่ได้เป็นโรคกลัว หรือ เกลียดหมา

อืม

แต่นั่นก็เป็นการต่อสู้กับบางอย่างครั้งเดียวในชีวิตละมั้งง

จะว่าไป เกิดมาก็ไม่เคยชกต่อยกับใครเลยน้า

ไมเคยไปหาเรื่องใคร
เออ
แล้วทำไมไม่มีคนมาหาเรื่องเรามั่ง
ทั้งที่เพื่อนๆก็โดนกันหมดฮ่าๆๆๆๆ


เพราะงั้นละมั้งมันเลยมีค่า

สิ่งที่เป็นครั้งแรก และ ครั้งเดียว

บังเกิดเป็นภาพติดตา

ฮี้วววววววว

อยากเห็นภาพติดตา ของเพื่อนๆ บ้าง เน่อ มาเล่าๆกันหน่อยนิ

วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ปิ่นโตน้อย

11 โมง เกือบ เที่ยง
ร้อนตับแตก
ในระหว่างเดินกลับบ้าน จาก ไปซื้อของ
ก็เหลือบไปเห็นคุณอาคนงาน นั่งล้อมวงกันในที่ร่มของช่วงตึก กำลังกินข้าวกลางวันกันอยู่
ทุกคนจะมี ข้าวในถุงพลาสติก กับ กับข้าวในชั้นปิ่นโต วางอยู่บนพื้น
สีหน้าของเหล่าคุณอา นั้นดูมีความสุข มือนึงจับถุงพลาสติก มือนึงจับช้อน แบ่งปันกับข้าวกินกัน
ทั้งๆที่ กินก็กินกันกับพื้น สุขอนามัยยำ่แย่ ข้าวที่ใส่ถุงพลาสติกดูยังไงก็ไม่น่ากิน
แต่ก็ยังรู้สึกอยากเข้าไปร่วมวงด้วย

ไม่ได้ใช้ปิ่นโตมานานเท่าไหร่แล้ว นา
พลันนึกไปถึงตอนประถมที่ ช่วงนั้นหิ้วปิ่นโตไปกินที่ ร.ร.
เที่ยงก็นั่งจับกลุ่ม เอา กับข้าวในปิ่นโต มาแบ่งกันกิน
" เป็นไง ไข่ยาย กู "
"ผัดฟักทองแม่ เราอร่อยกว่า"
"พวกเอ็ง มาเจอหมูทอดของข้า นี่"
จริงๆผมชอบหมูทอดที่แม่ไอ้นั่นทำมากเลย แต่ทำไมตอนเด็กๆ ต้องข่มกันด้วยก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
ช่วงนั้น รู้สึกสนุกกับการกินมาก ต้องลุ้นว่าวันนี้มีรายให้กินน้า
เป็นช่วงเวลาดีๆที่ ทุกวันนี้ไม่ค่อยมีโอกาส

ในกรุงเทพที่มีแต่ความวุ่นวาย ก็ยังมีมุมดีๆ ให้เห็นกันอยู่
เหล่าคุณอาได้นำ กับข้าวที่เอามาแล้วต้องแบ่งคนอื่นนั้นใส่ปิ่นโตมาอย่างดี
ส่วนข้าวส่วนตัวกลับใส่ถุงพลาสติก ดูจะกินลำบาก ใช้ช้อนตักก็ยาก
ผมว่าพวกคุณอานั้นให้ความสำคัญกับสิ่งที่ใช้ร่วมกันมากกว่าของส่วนตัว
แม้จะไม่มีเงินใช้ แต่ ร่ำรวยน้ำใจ
ชอบสังคมน้ำใจมากครับผม





วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ภาพเก่าๆ

คุณตาปั้นหน้ายักษ์ เดิน เก้ๆ กังๆ จูงมือหลานตัวอ้วน ข้ามถนนออกจาก ร.ร.
ซื้อเก็กฮวยแก้วใหญ่แช่เย็น จากร้านอาแปะ
ก่อนจะจูงมือกันนั่งรถเมล์กลับบ้าน



บางสิ่งที่จางหายไปกับกาลเวลา


บางสิ่งที่เราอาจลืมทิ้งไว้ในอดีต



รู้สึกเหงา แต่ก็ มีความสุขที่ได้เห็นภาพชวนคิดถึง









ขอ ขอบคุณ UP มากมายขอรับ